ตาแดง คันตา ใต้ตาคล้ำ รู้ทันภูมิแพ้ขึ้นตา: ปัญหาสุขภาพเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
14 Oct, 2025 / By
arisara
อาการตาแดง คันตา หรือน้ำตาไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ มักเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นเพียงการระคายเคืองธรรมดา แต่ในความเป็นจริง อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึง “ภาวะภูมิแพ้ขึ้นตา” ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรคภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือมีความชื้นสูง เช่น ในฤดูฝน ภาวะนี้อาจดูไม่รุนแรง แต่หากละเลยการดูแล อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังได้
ภูมิแพ้ขึ้นตา คืออะไร
ภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis) คือภาวะที่เยื่อบุตาเกิดการอักเสบจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ โดยเยื่อบุตาเป็นเนื้อเยื่อบาง ๆ ที่คลุมผิวด้านในของเปลือกตาและส่วนขาวของลูกตา เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการคัน แสบตา ตาแดง และน้ำตาไหล
สาเหตุและปัจจัยกระตุ้น
สาเหตุหลักของภูมิแพ้ขึ้นตาคือการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจได้แก่
1.ฝุ่นละอองและไรฝุ่น โดยเฉพาะในที่อับชื้นหรือห้องนอนที่ไม่ได้ทำความสะอาดสม่ำเสมอ
2.ขนสัตว์และเกสรดอกไม้ ที่กระจายอยู่ในอากาศ
3.มลภาวะทางอากาศ เช่น ควันรถ ควันบุหรี่ หรือฝุ่น PM2.5
4.เชื้อราในอากาศ ซึ่งมักเพิ่มจำนวนในช่วงฤดูฝน
5.การใช้เครื่องสำอางหรือคอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด
6.การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง
ภูมิแพ้ขึ้นตาสามารถเกิดได้ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว หากบิดามารดาเป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นมากขึ้นถึงร้อยละ 40–60 นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือสัตว์เลี้ยง ก็มีแนวโน้มเกิดอาการได้ง่ายเช่นกัน
อาการของภูมิแพ้ขึ้นตา
ลักษณะอาการที่มักพบ ได้แก่
- คันตา แสบตา หรือระคายเคือง
- ตาแดง เยื่อบุตาบวม
- น้ำตาไหลมากผิดปกติ
- ขี้ตาใส โดยเฉพาะในตอนเช้า
- หนังตาบวมและใต้ตาคล้ำ (Allergic shiner)
- มักเกิดร่วมกับอาการคัดจมูก น้ำมูกใส หรือจามบ่อย
ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจพบว่าตามัวหรือไวต่อแสง ซึ่งควรได้รับการตรวจจากจักษุแพทย์โดยเร็ว

แนวทางการดูแล
1.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ลดการสัมผัสกับฝุ่น ขนสัตว์ หรือควันบุหรี่ และควรปิดหน้าต่างเมื่ออากาศมีฝุ่นหรือเกสรดอกไม้มาก
2.รักษาความสะอาดในบ้าน ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าม่านเป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของไรฝุ่น
3.ล้างตาด้วยน้ำเกลือปลอดเชื้อ (Normal Saline) ช่วยชะล้างสิ่งระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ที่เกาะอยู่บริเวณดวงตา
4.ประคบเย็น ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณดวงตาเพื่อลดอาการคันและบวม
5.ใช้ยาตามแพทย์สั่ง เช่น ยาหยอดตากลุ่มต้านฮีสตามีน ยาหยอดตาสเตียรอยด์ในกรณีที่อาการรุนแรง หรือยาพ่นจมูกหากมีอาการภูมิแพ้ร่วมกัน
6.หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น และอาจทำให้สายตาเอียงในระยะยาว
7.หาวิตามิน อาหารเสริมที่ช่วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
สรุป
ภาวะภูมิแพ้ขึ้นตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังและส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาได้ในระยะยาว หากละเลยหรือปล่อยให้อาการดำเนินต่อเนื่อง ผู้ป่วยมักขยี้ตาบ่อยจนทำให้ใต้ตาคล้ำหรือเกิด Allergic shiner เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้ตาแดง คัน และระคายเคืองอยู่เสมอ บางรายอาจขยี้แรงจนเกิดภาวะสายตาเอียงได้ นอกจากนี้ ผิวรอบดวงตายังอาจบางลงและเกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงทำให้นอนไม่เต็มที่ ส่งผลให้สมาธิและประสิทธิภาพในการทำงานหรือเรียนลดลง
ดังนั้น การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น รักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อมรอบตัว และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการภูมิแพ้ขึ้นตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยให้ดวงตาคงความสดใสและสุขภาพดีในระยะยาว
เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง จากภายในสู่ภายนอก
การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากภูมิแพ้ ไม่ได้มีเพียงการเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเท่านั้น แต่ “การเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานสมดุล” ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดโอกาสเกิดอาการภูมิแพ้ซ้ำ ๆ ได้เช่นกัน
สำหรับผู้ที่มองหาตัวช่วยดูแลสุขภาพแบบองค์รวม IWIS Innertive Plus เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามินที่พัฒนาขึ้นโดยทีมเภสัชกร เพื่อเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา และช่วยให้ผิวพรรณแลดูกระจ่างใสจากภายใน

จุดเด่นของ IWIS Innertive Plus
- รวมสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น มากิเบอร์รี่ บีทรูท เห็ดหลินจือ และวิตามินซีธรรมชาติ
- ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างสมดุล
- บำรุงสายตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการตาล้า คันตา หรือแพ้ฝุ่น
- ช่วยลดความหมองคล้ำรอบดวงตาและบำรุงผิวให้ดูสดใสขึ้น

วิธีรับประทาน:
รับประทานได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป (ที่กลืนแคปซูลได้แล้ว) ทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้าหรือกลางวัน (เลือกมื้อใดมื้อหนึ่ง) อายุ 12 ปีขึ้นไป วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ ทานได้ครั้งละ 2 แคปซูลต่อวัน วันละ 1 ครั้ง หลังมื้ออาหารเช้าหรือกลางวัน (เลือกมื้อใดมื้อหนึ่ง)
หมายเหตุ: ผลิตภัณฑ์นี้เป็นอาหารเสริม ไม่ใช่ยา ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์งดรับประทาน